Saturday, October 8, 2016

เหนือ-อีสานตอนบนฝนลด ภาคอื่นยังมีฝนชุกหนาแน่น

เหนือ-อีสานตอนบนฝนลด ภาคอื่นยังมีฝนชุกหนาแน่น

กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานสภาพอากาศ ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2559ลักษณะอากาศทั่วไปพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีปริมาณฝนลดลง ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนตกหนักบางแห่งลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา
ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักได้ในระยะนี้ อนึ่ง พายุโซนร้อน “แอรี” (AERE) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันออกค่อนทางเหนืออย่างช้าๆ เลียบชายฝั่งประเทศจีนตอนใต้ สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปฮ่องกงควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทางไว้ด้วย ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 9-11 ตุลาคม 2559 พายุนี้ยังไม่มีผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดต่อไป
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.ภาคเหนือมีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ บริเวณจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร ตาก และเพชรบูรณ์
อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคกลางมีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และ นครปฐม
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคตะวันออกมีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม/ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม/ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีโอกาสเกิดฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 และมีฝนตกหนักบางแห่ง 
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

เซียนพนันหอบเงิน 3 ล้านกลับบ้านถูกปล้นระหว่างทาง

เซียนพนันหอบเงิน 3 ล้านกลับบ้านถูกปล้นระหว่างทาง

นายไพศาล อุคำ อายุ 44 ปีชาวมุกดาหารแจ้งความร้องทุกข์สภ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหารว่าถูกคนร้าย 3 คนขับรถมาดักปล้นเงิน 3 ล้านบาท ระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นเหตุการณ์เกิดเมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 8 ต.ค. 59 ก่อนเกิดเหตุนำเงิน 1.5 ล้านบาท ไปเล่นการพนันได้เงินมาเพิ่มอีก 1.5 ล้านบาทจึงเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทาง ก่อนถึงบ้าน 3 กิโลเมตร มีชาย 3 คนสวมชุดลายพรางดักระหว่างทง บังคับให้ลงจากรถ พร้อมรุมทำร้ายจนหมดสติ จากนั้นคนร้ายใส่กุญแจมือ เอาผ้าปิดตาปิดปากโยนขึ้นรถ แล้วหอบเงินขับรถหลบหนี เมื่อรู้สึกตัวนายไพศาล จึงพยายามเอากุญแจมือออกแล้วขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจประสานไปยังทุก สภ. ให้ตั้งจุดสกัดแต่ยังไม่พบกลุ่มคนร้าย คาดว่าคนร้ายคงนำเงินหลบหนีข้ามฝั่งประเทศเพื่อน 

แห่ชมพระอาทิตย์ขึ้นยอดภูบ่อบิดท่ามกลางทะเลหมอก

แห่ชมพระอาทิตย์ขึ้นยอดภูบ่อบิดท่ามกลางทะเลหมอก

มวลอากาศเย็นแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้อุณหภูมิที่จังหวัดเลยลดลงจนมีอากาศเย็นโดยทั่วไปส่วนยอดภูอากาศหนาวเย็นและมีหมอกตอนเช้า ทำให้มีทะเลหมอกตามยอดภู นักท่องเที่ยวจึงแห่ไปชมทะเลหมอกและชมดวงอาทิตย์ขึ้น-ตก ที่วนอุทยานภูบ่อบิด กันเป็นจำนวนมาก  ที่ วนอุทยานภูบ่อบิด ตั้งอยู่ในพื้นที่ 3 ตำบลคือ ต.นาอาน ต.ชัยพฤกษ์ ต.เมือง อ.เมืองเลย จ.เลย แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก สภาพป่าที่สมบูรณ์ตามธรรมชาติ ป่าไม้ มีพืชพันธุ์นานาชนิดให้ได้เห็นกันตลอดเส้นทาง ยอดภูบ่อบิดสามารถมองเห็นทิวทัศน์ 360 องศา เห็นตัวเมืองเลยได้อย่างชัดเจน นอกจากจุดชมวิวแล้วยังมีถ้ำแดง นมัสการพระพุทธบาทที่ยอดภูบ่อบิด 

นายสว่าง อภัย อายุ 64 ปี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า“ลุงแว่น ภูบ่อบิด”ผู้ดูแลภูบ่อบิด กล่าวว่า ภูบ่อบิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัด เป็นที่นิยมอย่างมาก มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกที่สวยงาม ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนมีทะเลหมอกเต็มท้องฟ้าทุกวันไล่เรียงขนาดพระอาทิตย์ขึ้น ยิ่งช่วงเข้าหนาวยิ่งสวยมาก ทะเลหมอกปกคลุมเต็มท้องฟ้าเป็นคลื่น คาดว่าในช่วงเข้าหนาวจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมากขึ้นกว่าทุกปีแน่นอน ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจทำรายได้ให้กับจังหวัดและพ่อค้าแม่ค้าที่นำสินค้ามาขายให้กับนักท่องเที่ยว เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับท้องถิ่น
สำหรับปีนี้ได้เตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว ที่ชอบธรรมชาติ ชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก มองเห็น 360 องศา ทั่วจังหวัดเลย ส่วนนักท่องเที่ยวสามารถสอบถามได้ที่“ลุงแว่น ภูบ่อบิด”เบอร์ โทร 089-6201373

หนุ่มส่งของในตลาดเมาตกตึกดับ

หนุ่มส่งของในตลาดเมาตกตึกดับ

              เวลา  02.30น. วันที่ 9 ต.ค.2559 ร.ต.ท.วีระยุทธ ศรีสุพัฒน์ รอง สว.(สอบสวน) สน.นางเลิ้ง ได้รับแจ้งเหตุชายพลัดตกจากที่สูงเสียชีวิต บริเวณดาดฟ้าชั้น3โรงภาพยนตร์ปารีสเก่าถนนหลานหลวง แขวงสี่แยกมหานาคเขตดุสิต หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจตสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยแพทย์นิติเวชจาก รพ.วชิรพยาบาล และมูลนิธิป่อเต๊กตึ๊ง ศพนายศักดิ์ดา บุญคิม อายุ 18 ปี  จากการสอบสวนแม่ผู้ตาย ให้การว่า ลูกชายทำงานเป็นเด็กส่งของในตลาดมหานาค ก่อนเกิดเหตุลูกชายนั่งดื่มเหล้าอยู่กับเพื่อนอีก 3 คน บนดาดฟ้าชั้น 5 ของห้องเช่าที่อยู่ติดกับโรงหนัง จากนั้นเพื่อนลูกก็มาบอกว่าลูกชายพลัดตกดาดฟ้าเสียชีวิต จากการสอบปากคำเพื่อนผู้ตายให้การว่า กำลังจะแยกย้ายกลับบ้านแต่ด้วยความเมาจังหวะที่ผู้ตายลุกขึ้นมาทำให้เสียหลักหงายหลังพลัดตกลงมาศีรษะฟาดพื้นเสียชีวิต เบื้องต้นญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต พร้อมกับมอบศพให้นำกลับไปบำเพ็ญกุศลต่อไป

Khmer Boxing, Lorn Lerb Vs. Belarus, CTN Boxing, 08 October 2016

Khmer Boxing, Phorng Sopheap Vs. Thai, CNC Boxing, 08 October 2016

Ven. But Buntenh reacts to the Phnom Penh Municipality's refusal...

Why ASEAN is in Disarray in the South China Sea


October 9, 2016

Why ASEAN is in Disarray in the South China Sea

The National Interest, Nicholas Khoo, October 7, 2016

Once celebrated as a model multilateral organization and an agent of positive regional change, the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) is in disarray.
On July 12, a tribunal at the Permanent Court of Arbitration in The Hague issued a judgment on the South China Sea that is widely seen as a victory for ASEAN member the Philippines over China. In the short run at least,
this has proven to be a pyrrhic victory. At the organization’s July 21-26 meetings with their non-ASEAN dialogue partners in Laos, divisions within ASEAN over the South China Sea disputes were on full display.

What explains this disunity?

Simply stated, Chinese interest in a divided ASEAN.

China emerged from the Cold War as the dominant influence in Indochina, and particularly over Cambodia. Fast forward to the present. In ASEAN’s internal discussions on the wording for a final communiqué, Cambodia refused to include any mention of China in the section on the South China Sea. The failure to release such a statement is revealing. If the organization cannot speak with a powerful voice on a dispute involving contested sovereignty claims between China and some of its members, namely Brunei, Malaysia, the Philippines, and Vietnam, then when can it speak? The machinations that led to this outcome are equally instructive. One ASEAN diplomat, speaking on the condition of anonymity, explained Cambodia’s steely resolve in blunt terms. “Cambodia is unbelievable. It is blocking any phrase about the [Hague] arbitration and about [China’s] militarization” of the South China Sea. The effect of these developments on ASEAN credibility cannot be understated. Another diplomat, from Indonesia, made this clear. “Our house is in a mess. We don’t want ASEAN to be like Europe. We want to save ASEAN and be unified again.”

If anything, the situation has deteriorated further for ASEAN. The newly-elected Philippines President Rodrigo Duterte has decided to initiate direct talks with China, even as his ASEAN partners are being systematically critiqued by Beijing. In late August, a senior Chinese official confirmed that “important backstage” contacts to improve Sino-Filipino relations were occurring. Then, in late September, Manila announced that Duterte will be visiting Beijing in October. Meanwhile, Singapore, as the designated country coordinator for Sino-ASEAN relations for a three-year term, has been repeatedly singled out by Chinese foreign ministry officials for veiled critical comment. More nationalistic elements of the Chinese press have made explicit what was left unsaid by official sources.

Whatever emerges from this mess, we should not expect a change in longstanding Chinese policy of seeking a divided ASEAN. In the late 1990s, ASEAN expanded its membership to incorporate Vietnam, Myanmar, Laos, and finally Cambodia. Ironically, one argument for expansion that was advanced at the time by ASEAN diplomats was the need to prevent these states from falling into China’s sphere of influence, thus dividing Southeast Asia. That logic has failed the test of reality. Since the expansion, there have been notable delays in obtaining consensus at ASEAN meetings. In intra-ASEAN discussions on issues involving China, word is reportedly being fed back by some member-states to Beijing on other ASEAN states’ positions. It takes little detective work to guess the identity of these states: Cambodia, Laos, and Myanmar. These states are in the position of both having China as a major trading partner and of not enjoying a particularly close security relationship with other major non-regional powers. The imperative of cooperating with Beijing invariably weighs heavier on their minds than vague ideals of ASEAN cooperation.


One need not necessarily impute malign intent in Chinese actions. China is simply asserting its interests as it has chosen to define them, and engaging in rhetoric and behavior that are typical of rising powers across the millennia. It would be highly unusual for a great power like China to voluntarily respect agreements that seek to constrain it. This was the intent of the now 2002 ASEAN-China Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea. The surprise is not that the declaration has palpably failed. It is that so many diplomats, analysts, and academics bought into the myth of China’s “peaceful rise,” and believed that Beijing would be constrained purely by agreements signed with smaller states. Even at the time, such expectations were implausible, as the Chinese themselves recognized. Great powers rarely if ever rise peacefully, least of all when the state in question was previously an empire, and has a checkered history with its 20 immediately adjacent states. This history includes border wars with India, Russia, and Vietnam in the last 50 years, and a literal occupation of its territory by Japan during World War II.

Recent developments will not be particularly surprising to less starry-eyed observers of the East Asian region, who have often been cast as insufficiently attuned to the region’s putative norms, identities, and strategic cultures. One wonders where these abstract concepts  are when they are needed most. That said, the United States and its regional partners cannot view Chinese success in dividing ASEAN with equanimity. Chinese policy has spillover effects, both for other states and itself. To state the obvious, with a divided ASEAN, the region is now less stable and increasingly volatile. Unless the current U.S. presidential election campaign produces a candidate who is up to the challenge of balancing Chinese power in word and deeds, ASEAN will continue to be a casualty of Chinese realpolitik.

How far to go? Photographers divided over graphic war snaps

How far to go? Photographers divided over graphic war snaps


A woman with her two children stands among the ruins of her village destroyed by the Vietcong artillery on February 14, 1974 during the "Battle of rice" in Cambodia
How far to go in terms of gore and shock value when covering conflict? Capturing violence on camera was hotly debated on the fringes of Bayeux, a major French photography festival.
Seasoned photographers discussed where to draw the line at an event Friday on the fringes of the Bayeux Calvados festival, whose main prizes are set to be awarded later Saturday.

"How do you want people to accept refugees in Europe if you don't show them the violence from which the migrants are fleeing?" said Indian photographer Sami Siva who has covered unrest and post-conflict issues in Turkey, Afghanistan, Sri Lanka and India.

But this does not convince Yunes Mohammed, a 44-year-old Iraqi Kurdish photographer, who says this is like playing into the hands of jihadists.

"I've seen children playing at decapitation. This raises questions. And those who use violence want to show their power and wait for people like me to help them have a psychological impact on others," he said.

In 2014, the Bayeux festival ignored the work of Turkish photographer Emin Ozmen, whose work showing decapitations by Islamic State fighters in Syria, sparked great controversy.

That decision is still being debated.

According to French photographer Patrick Chauvel, Ozmen, who has won two World Press Photo awards, was right.

- 'Photograph everything' -

"You can't say 'Daesh decapitates' and then not show it," Chauvel said, using the Arabic name for the Islamic State group.

This year too the theme is in the limelight with an exhibition devoted to gang wars in Acapulco, "the most dangerous city in Mexico," according to its curator, Belgian reporter Laurent van Der Stockt.

"My ethics forbid me from showing battered bodies of women and children," said Mexican photographer Bernandino Hernandez.

"I concentrate on the details" like the tied up legs of a body found on the sidewalk, he said.

But Chauvel says one should go all the way.

"One must photograph everything for collective memory, for the International Criminal Court, but should not publish everything," he said.

"Some people go too far in their quest for fame," the 67-year-old added.

Virginie Nguyen Hoang said if photographs were unduly gruesome they would fail to inform as people would stop looking at them.

"In August 2013, I covered a massacre in Cairo. I saw many people dying in front of me, bleeding to death. But I photographed a dead youth with just a hole in his throat.

"That photo did not shock but it left a mark," she said. "It touched a chord with the Egyptian authorities...."